function round() เป็นฟังก์ชั่นหนึ่งที่ไว้สำหรับจัดการกับตัวเลข
ฟังก์ชั่นนี้จะทำงานอย่างไร มีอะไรเป็นกดเกณฑ์
1.การปัดเศษทศนิยม จะปัดขึ้น หรือ จะปัดลง ขึ้นอยู่กับเ๋ศษนั้น มีค่าเป็นเท่าไหร่
หากเลขทศนิยมอยู่ระหว่างเลข 0-4 ก็จะถูกปัดลง แต่ถ้่าเลขทศนิยมอยู่ระหว่างเลข 5-9 ก็จะถูกปัดขึ้น
2.หากต้องการปัดเศษจำนวนเต็ม ก็ไม่จำเป็นต้องระบุจำนวนหน่วยทศนิยม
3.หากระบุจำนวนหน่วยทศนิยมติดลบ การปัดเศษ จะปัดตามจำนวนหลักที่ติดลบ เช่น -3 จะหมายถึง ปัดเศษของหลักร้อย เป็นต้น
รูปแบบของ function round()
round(ข้อมูลตัวเลข,จำนวนหน่วยทศนิยม)
มาดูตัวอย่างกันนะครับ แล้วผมจะตั้งข้อสังเกตให้ได้ทราบกัน
<?php
echo round(5.2, 0). "<br>";
echo round(5.6, 0). "<br>";
echo round(5.4). "<br>";
echo round(1.958461, 2). "<br>";
echo round(1241854, -3). "<br>";
?>
พอรันผลลัพธ์ของโค้ดนี้แล้ว สิ่งที่เราจะได้ก็คือ
5
6
5
1.96
1242000
วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2554
วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2554
การเรียกใช้ Functions
function โดยทั่วไปฟังก์ชั่นแบ่งออกได้เป็น 2 แบบ คือ แบบคืนค่า กับ ไม่คืนค่า
โดยแบบคืนค่า กล่าวคือ มีค่าที่ return กลับมานั้นเอง โดย php จะใช้คำสั่ง return ในการคืนค่า ดูตัวอย่างกันเลยดีกว่าครับ
จากตัวอย่างผมจะสร้าง function ในการบวกตัวเลข 2 จำนวน โดยการส่งค่าเข้าไปในฟังก์ชั่น
-----------------------------------------------------------------
<?php
function addNumber($x, $y){
$n = $x + $y;
return $n;
}
$result = addNumber(4, 5);
echo $result; //ผลลัพธ์ที่ได้คือ 9
?>
-----------------------------------------------------------------
ต่อไปเป็นตัวอย่าง function แบบไม่คืนค่า จะเป็นการเขียน function ในการติดต่อฐานข้อมูล และ เลือกฐานข้อมูลใน function เดียวกัน
-----------------------------------------------------------------
<?php
function myConnectDB($host, $user, $pass, $dbname){
mysql_connect($host, $user, $pass);
mysql_select_db($dbname);
}
//เรียกใช้ function
myConnectDB("localhost", "bigquery", "passwd", "bigquery_db");
?>
-----------------------------------------------------------------
อย่างนี้เป็นต้น จากตัวอย่างเป็นตัวอย่างง่ายๆ เพื่อให้เข้าใจถึงความแตกต่างระหว่าง function ทั้ง 2 แบบ และจากตัวอย่างจะเห็นการส่งค่าเข้าไปในฟังก์ชั่น เรียกว่า parameter
โดยแบบคืนค่า กล่าวคือ มีค่าที่ return กลับมานั้นเอง โดย php จะใช้คำสั่ง return ในการคืนค่า ดูตัวอย่างกันเลยดีกว่าครับ
จากตัวอย่างผมจะสร้าง function ในการบวกตัวเลข 2 จำนวน โดยการส่งค่าเข้าไปในฟังก์ชั่น
-----------------------------------------------------------------
<?php
function addNumber($x, $y){
$n = $x + $y;
return $n;
}
$result = addNumber(4, 5);
echo $result; //ผลลัพธ์ที่ได้คือ 9
?>
-----------------------------------------------------------------
ต่อไปเป็นตัวอย่าง function แบบไม่คืนค่า จะเป็นการเขียน function ในการติดต่อฐานข้อมูล และ เลือกฐานข้อมูลใน function เดียวกัน
-----------------------------------------------------------------
<?php
function myConnectDB($host, $user, $pass, $dbname){
mysql_connect($host, $user, $pass);
mysql_select_db($dbname);
}
//เรียกใช้ function
myConnectDB("localhost", "bigquery", "passwd", "bigquery_db");
?>
-----------------------------------------------------------------
อย่างนี้เป็นต้น จากตัวอย่างเป็นตัวอย่างง่ายๆ เพื่อให้เข้าใจถึงความแตกต่างระหว่าง function ทั้ง 2 แบบ และจากตัวอย่างจะเห็นการส่งค่าเข้าไปในฟังก์ชั่น เรียกว่า parameter
วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2554
การเปิด Tag PHP
วันนี้เราจะมา ศึกษากันเรื่อง การเปิด tag PHP โดย การใส่<? ?> แต่ยังมีอีกหนึ่งรูปแบบที่สามารถเปิด tag PHP ได้เหมือนกัน และยังคล้ายๆกันอีกด้วย คือ <?php ?>
บางท่านอาจจะรู้แล้วว่ามีการเปิด tag php แบบนี้อยู่
บางท่านอาจสงสัยว่า การเปิด tag ทั้ง 2 แบบนี้ ต่างกันอย่างไร
การ เปิด tag แบบนี้ จะมองข้อมูลข้างในทั้งหมดเป็น php โดยที่ไม่ต้องตรวสอีก ว่าเป็น PHP หรือไม่ ซึ่งจะช่วย เพิ่มความเร็วในการประมวลผลอีกด้วยครับ ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ต้องอยู่กับผู้เขียนชื่นชอบแบบไหน และขึ้นอยู่กับสถานะการณ์นั้นๆไป
บางท่านอาจจะรู้แล้วว่ามีการเปิด tag php แบบนี้อยู่
บางท่านอาจสงสัยว่า การเปิด tag ทั้ง 2 แบบนี้ ต่างกันอย่างไร
การ เปิด tag แบบนี้ จะมองข้อมูลข้างในทั้งหมดเป็น php โดยที่ไม่ต้องตรวสอีก ว่าเป็น PHP หรือไม่ ซึ่งจะช่วย เพิ่มความเร็วในการประมวลผลอีกด้วยครับ ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ต้องอยู่กับผู้เขียนชื่นชอบแบบไหน และขึ้นอยู่กับสถานะการณ์นั้นๆไป
วันพฤหัสบดีที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2554
CONVENTION
CONVENTIONการเขียน Code หรือ Programming ที่ต้องทำงานกันเป็น "ทีม" ควรมีบรรทัดฐานในการเขียน code "Convention "จะทำอย่างไร ให้ Programmer คนอื่น สามารถ ดู Code ของเรา แล้วง่าย ต่อการเพิ่มติม และ แก้ไข เพื่อ ความรวดเร็วในการทำงาน เช่น รูปแบบการเขียนคำสั่ง
if สมมุติว่า ซ้อนกันหลายชั้น
การเขียน แบบที่1
if ( ){ if( ){ if( ){ } } }
การเขียนแบบที่ 2
if( ){
if( ){
if(){
}
}
}
การเขียนแบบที่ 3
if( )
{
if( )
{
if( )
{
}
}
}
ระหว่าง 3 แบบ คุณคิดว่าแบบไหนดูง่ายกว่ากัน การ เปิดปิดของ { } ลำดับ ความสำคัญ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)